5 ส.ค. 2556

Review Bangkok Post International Run 2013



Bangkok Post International Run 2013 จัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2556 งานนี้จัดชนกับงานสวนหลวง ร.9 มินิมาราธอน จริงๆตอนแรกข้าพเจ้าก็ว่าจะไปที่สวนหลวง ร.9 แต่คิดไปคิดมา มันค่อนข้างไกลบ้าน ถ้ามีงานที่จัดใกล้กว่า ก็ควรไปงานใกล้กว่า แล้วอีกอย่างงานนี้สามารถสมัครวิ่งผ่าน goadventure ได้เลย (ส่วนตัวไม่ค่อยชอบระบบโอนเงินแล้วต้อง fax หรือ อีเมลล์หลักฐานการโอนเงิน มันดูหลายขั้นตอน และกลัวว่ารายชื่อจะตกหล่นด้วย เลยชอบระบบตัดเงินออนไลน์ พร้อมแจ้งเมลล์ยืนยันทันทีแบบนี้มากกว่า)

งานวิ่งงานใหญ่ๆ จำเป็นต้องสมัครล่วงหน้าก่อนนะคะ หลายๆงานไม่รับสมัครหน้างาน (หรือรับก็รับเฉพาะระยะ fun run) เพราะคนจัดงานต้องเตรียมน้ำ อาหาร เหรียญ เสื้อ ให้พอกับจำนวนคนที่มาสมัคร เมื่อวันเสาร์ไปรับเสื้อที่ central world เห็นหลายๆคนอยากสมัคร แต่ก็สมัครไม่ได้เพราะเต็ม  (หรือจริงๆอาจจะไม่ได้เต็ม แต่เพื่อป้องกันความวุ่นวายก็ต้องบอกปัดไป) 

เช้าวันอาทิตย์ ตื่นมาจัดการธุระส่วนตัว ไปถึงงานประมาณตี 4.30 (10 กิโล ปล่อยตัว ตี 5.30) งานนี้ดีหน่อยตรงที่สามารถจอดรถชั้นใต้ดิน ใน central world ฝั่ง อิเซตัน ได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่จอดรถ (3 ชม.แรก จอดฟรี) วันนี้รอปล่อยตัวแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบ เพราะกะเวลามาเหลือเฝือ ได้ยืด เหยียด วอร์ม จนเหงื่อผุดเล็กน้อย และงานนี้เป็นงานแรกที่ทันเต้นแอโรบิคกับเค้า แต่พอเห็นท่าเต้น ออกเสต๊ปของน้องๆที่นำเต้นแล้ว ข้าพเจ้าถอยกรูดออกมาเลย ฮ่าๆ ไม่ไหวอะ อายเค้า ท่าเยอะมาก ตามไม่ทัน ตอนแรกนึกว่าเหมือนแอโรบิคที่เค้าเต้นตามสวนลุมกัน

ได้เวลาปล่อยตัว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เดินออกไปเกาะกลุ่มกับนักวิ่งแถวหน้า เนื่องจากกังวลว่าจะวิ่งเข้าเส้นชัยไม่ทัน 90 นาที (ในเวบ goadventure เขียนไว้ว่า จำกัดเวลา 90 นาที) คือปกติก็วิ่งอยู่แถวๆ 80-90 นาทีอยู่แล้ว ถ้าออกตัวหลังๆ มันจะยิ่งช้าไปกันใหญ่ ได้เวลาปล่อ่ยตัวปุ๊บ นักวิ่งแถวหน้าเค้าก็ใส่กันไม่ยั้ง ข้าพเจ้ากลายเป็นเต่าขวางทาง - -" ไม่อยากออกตัวแรง กลัวหมดแรง และกลัวที่สุดคือ จุกกับเจ็บซี่โครงเหมือนที่ผ่านๆมา


กิโลที่ 1-2 วิ่งอยู่ประมาณ pace 6.5 และผลจากการไม่ได้ซ้อมวิ่งเลย (หลังจบพัทยามาราธอน ก็ยังไม่ได้ออกไปซ้อม) เข้ากิโลที่ 3 หอบ เหนื่อย และหยุดเดิน ตอนนั้นคิดในใจว่า ไม่รอดแน่ๆ แค่ 3กิโล หอบเหมือนสมัยหัดวิ่งแรกๆ แต่อีกใจก็ปลอบใจตัวเองว่า ผ่านมาตั้ง 3 สนามแล้ว สู้หน่อยสิ เหนื่อยแค่ตอนนี้แหละ เดี๋ยววิ่งจบ ได้เหรียญก็หายเหนื่อยแล้ว ตอนนี้เห็นแต่คนวิ่งแซงเราไปทีละคน ทีละคน ใจแป้วหล่ะ หันไปมองข้างหลัง อืม ก็ยังพอมีคนอยู่ข้างหลังบ้าง แต่ถ้าเรายังวิ่งๆเดินๆอย่างนี้ นอกจากจะรั้งท้ายแล้วยังไม่ทัน 90 นาทีแน่ๆ

กิโลที่ 3-4 วิ่งอยู่ที่ pace 7.4 พอถึงกิโลที่ 4 จะมีจุดให้น้ำ ตอนนั้นทั้งเหนื่อย ทั้งกระหาย หันไปบอกคุณแฟนว่า รับน้ำเผื่อหน่อยดิ อยากเดินหายใจสักพัก แล้วข้าพเจ้าก็เดินๆๆๆๆ สักพักคุณแฟนตามมาแล้วบอกว่า ไม่มีน้ำเปล่า มีแต่เกลือแร่ สงสัยน้ำเปล่าอยู่ซุ้มแรก (เค้าเห็นว่าซุ้มแรกคนเยอะ เลยเลี่ยงมาเอาซุ้มถัดไป พอเห็นว่าไม่มี ก็ไม่อยากวิ่งย้อนไปเอาแล้ว) พอได้ยินคำว่าไม่มีน้ำเปล่า แทบหมดแรงตรงนั้น หิวน้ำมาก กินเกลือแร่เข้าไปมันก็หวานติดลิ้น แอบแปลกใจว่า 10 กิโลทำไมต้องมีน้ำเกลือแร่ ข้าพเจ้าว่านักวิ่งต้องการน้ำเปล่ามากกว่านะ เพราะนี่มันระยะสั้นมาก บางคนวิ่ง 10กิโล ไม่กินน้ำเลยก็มี แต่สุดท้ายก็ต้องอดทน ทำอะไรไม่ได้ พยายามวิ่งเร็วขึ้น หยุดเดินให้น้อยลง เพื่อจะไปกินน้ำกิโลที่ 6 (เป็นการวิ่งที่ดูมีเป้าหมายมาก ฮ่าๆ)

กิโลที่ 5-6 วิ่งอยู่ที่ pace 7.5 จะเห็นว่านี่ขนาดรีบวิ่งไปกินน้ำ ก็ยังอยู่ที่ความเร็วเดิม (แต่ ณ ขณะวิ่งบอกเลยว่า เร่งสุดๆแล้ว) พอเห็นป้ายกิโลที่ 6 เราก็เฝ้ามองหาป้ายที่เขียนว่า 100m water แต่วิ่งไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นสักที ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก อย่างน้อยเราน่าจะจำจุดให้น้ำไว้มั่งว่ามีกิโลไหน ถึงตอนนี้เริ่มวิ่งให้เร็วขึ้นและพยายามไม่หยุดจนกว่าจะได้น้ำ เพราะถ้ายังวิ่งช้าอยู่อย่างนี้เราจะยิ่งกระหายและแย่กว่าเดิม กว่าจะเจอจุดให้น้ำจุดที่ 3 ก็เกือบเข้ากิโลที่ 7 ทำให้ pace กิโลที่ 7 ขยับขึ้นมา 7.2

หลังจากซัดน้ำไป 2 แก้ว สถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ กิโลที่ 8-9-10 วิ่งอยู่ที่ pace 8.3 หมดแรงแล้ว วิ่งไปก็ปลอบใจตัวเองไปว่า อีกแค่ 10ก้าว เดี่ยวกิโลที่ 8 ก็อยู่ข้างหลังเรา พอครบ 10 ก้าว ก็ท่องซ้ำในใจไปอีก มีวิ่งๆไปแล้วหยุดร้อง เฮ้อ! เป็นระยะ เหมือนได้ระบายความอึดอัด พอเห็นป้ายกิโลที่ 8 ก็ท่องใหม่ อีก 10ก้าว เดี๋ยวกิโลที่ 9 ก็อยู่ข้างหลังเรา ตอนนี้หันไปดูข้างหลัง อืม คนโหลงเหลงแล้ว ทำไงละทีนี้ เวลาจะข้ามแยกที่ เหนื่อยมาก! ต้องสปีดจนหอบ เพราะตำรวจเค้าก็ไม่อยากกั้นให้นาน เดี๋ยวคนจะบ่น พอพ้นแยกทีนึงก็เดินหอบ ลิ้นห้อยเลย

ตอนช่วงกิโลที่ 10 (งานนี้ผู้จัดบอกว่าระยะ 10.7 กิโล แต่ nike ข้าพเจ้าวัดไป 11.2 กิโล) มีคุณน้องคนสวยคนนึงหันมาพูดว่า ถ่ายวิดีโอค่ะ ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า ให้ถ่ายวิดีโอให้เธอหน่อย แต่ไม่ใช่ เธอบอกว่า มาถ่ายด้วยกันค่ะ พร้อมกับเปิดกล้องหน้า เห็นหน้าตัวเองในกล้องแล้วตกใจเล็กน้อย สภาพดูไม่ได้จริงๆ หน้า ผม ไม่ไหวๆ คุณน้องเธอพูดกับกล้องว่า เตรียมตัวเข้าเส้นชัยกันค่ะ ข้าพเจ้าก็ยิ้มเล็กน้อย ชูสองนิ้ว แล้วพูดออกไปว่า ค่ะ! พร้อมกับเสียงหอบ แล้วคุณน้องคนสวยก็ปิดกล้อง แล้วปล่อยให้ข้าพเจ้าวิ่งต่อไป ข้าพเจ้าก็ยังงงเล็กน้อยว่า วิดีโอมันสั้นไปป่าว ฮ่าๆ ถ้าคุณน้องได้มีโอกาสมาอ่านบันทึกของพี่ เจอกันงานหน้า เดี๋ยวคุณพี่จะเตรียม dialog ให้มันเป๊ะกว่านี้ พร้อมเสื้อผ้าหน้าผมค่ะ ก็เป็นมิตรภาพเล็กๆน้อยๆจากสนามวิ่งค่ะ

700 เมตรก่อนเข้าเส้นชัยนี่ก็ทรมานเหมือนกันนะ วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที พอเห็นเส้นชัย เริ่มรู้สึกดี อย่างน้อยๆเราก็ได้เห็นความพยายาม ความอดทนของตัวเอง ลากสังขารมาจนถึงเส้นชัยได้ (เนื่องจากท้อแท้ตั้งแต่กิโลที่3) ลบล้างความคิดว่าวิ่งไม่ไหวออกไปจากหัว เงยหน้ามองเวลา ใช้เวลาไป 86 นาที คิดในใจ โหย! เค้าให้ 90 นาที ใช้คุ้มเลยนะหล่อน (อ้อ! งานนี้ไม่จุก ไม่เจ็บซี่โครงแล้วนะ ดีใจ T_T)

mini สนามที่ 4 แล้วจ้า

พอเข้าเส้นชัยได้ก็เดินหาซุ้มน้ำทันที แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงซุ้มน้ำ คือต้องย้อนมาไกลมาก  อาหารหลังเข้าเส้นชัยงานนี้เป็น เบอร์เกอร์ของ Mc ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะปกติไม่ค่อยกินอาหารพวกนี้อยู่แล้ว แอบรู้สึกว่างานวิ่งน่าจะเป็นอาหารที่ดู healthy กว่านี้หน่อยนะ (ขนมปัง farmhouse ยังดูดีกว่าอีก) แต่ก็กินนะ เสียดายของ หิวด้วย

เบอร์เกอร์ Mc ไม่อร่อย

โดยรวมแล้วงานนี้ก็โอเค น้ำ อาหาร เหรียญมีพอ ไม่วุ่นวายเท่าไหร่ ถ้าจะไม่ชอบก็คงเป็นเส้นทางวิ่งนี่ล่ะ รู้สึกว่าในกรุงเทพไม่น่าวิ่งเลย เพราะเราต้องวิ่งตีคู่ไปกับรถบนถนน สูดควันพิษกันเพลินเลย ขนาดหอบๆ เจอรถเมล์ปล่อยควันดำยังไม่อยากหายใจเลย ต้องเอาผ้าอุดจมูกหายใจ จังหวะข้ามแยก ข้ามไฟแดงอีก สำหรับคนใช้รถใช้ถนนก็คงคิดว่า บ้าป่าว มาวิ่งกลางถนน กีดขวางจราจร ทำให้รถติด อะไรแบบนี้ (เสียงบีบแตรมาเป็นระยะๆ) นักวิ่งแนวหลังแบบข้าพเจ้าก็แอบกดดันนะ อยากจะไปวิ่งท่ามกลางธรรมชาติ เสียงนก เสียงกา ต้นไม้ ดอกไม้ริมทางเหมือนกัน แต่ว่านี่มันกรุงเทพจะไปหาที่ไหนล่ะ

ปล. หลังจากรับน้ำ รับอาหารเสร็จ ยืด เหยียด สักพัก หันไปดูเส้นชัย อ่ะ ก็ยังมีคนวิ่งเข้าเส้นชัยเรื่อยๆนี่นา เกินเวลา 90 นาทีแล้วด้วย สรุปว่า ที่ข้าพเจ้ากังวลมาตลอดว่าจะวิ่งไม่ทัน 90 นาทีก็สูญเปล่าอะดิ O_o 

ชอบลุงคนนี้ แนวดี ฟังเพลงเพราะๆก่อนเข้าเส้นชัย

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น