10 ก.ย. 2556

Review Adidas King of The Road 2013



งานนี้เป็นงานวิ่งที่อยากไปมากๆ เข้าไปกรอกใบสมัครที่ nike shop เซนทรัล ปิ่นเกล้า ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เปิดรับสมัครเลย และได้ข่าวว่าเปิดรับสมัครแค่ 2 สัปดาห์ ก็เต็มแล้ว (ปีนี้จำกัดนักวิ่งแค่ 2500 คน) สาเหตุที่ข้าพเจ้าอยากไปงานนี้มากๆ ก็เพราะสนามวิ่งสุวรรณภูมิ ปกติเวลาวิ่งเห็นแต่รถราตามท้องถนน คราวนี้เปลี่ยนบรรยากาศมามองเครื่องบินมั่ง น่าจะแปลกไปอีกแบบ แต่ด้วยความที่งานนี้เปิดรับสมัครล่วงหน้าหลายเดือนจัด ข้าพเจ้ารอจน...ท้อง T_T ท้องจริงๆค่ะ แล้วเจอภาวะแท้งคุกคามด้วย ต้องฉีดยากันแท้งอาทิตย์ละ 1 เข็ม ทำให้อดวิ่งงานนี้ แต่ถึงไม่ได้ไปวิ่งก็แอบตามสามีไปเก็บภาพบรรยากาศเพื่อมาเขียนรีวิวด้วย

เริ่มจากการรับเสื้อและเบอร์วิ่งของงานนี้ บอกเลยว่าเจ้าหน้าที่เตรียมงานได้ดีมากๆ เสื้อและเบอร์ถูกจัดเป็น pack อยู่ในถุงซิปไว้เรียบร้อย ไปถึงเค้าจะมีบอร์ดให้ตรวจสอบรายชื่อและเบอร์ จากนั้นก็เดินถือใบเสร็จไปตามช่องเบอร์ของเรา เจ้าหน้าที่จะหยิบ pack เบอร์และเสื้อยื่นให้เราเลย ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ สำหรับคนที่ลงระยะ 16.8km ก็ไปตรวจสอบชิพด้วย

การจัดแพคเสื้อนี่ดีอย่างคือสะดวก รวดเร็ว แต่ก็มีข้อเสียคือเปลี่ยนไซส์เสื้อไม่ได้ หลายๆคนบ่นว่าปีนี้เสื้อตัวใหญ่มาก เปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้ ต้องรับมาแบบนั้น แต่สำหรับข้าพเจ้าถือว่าโอเค ไม่ใหญ่จนเกินไป พอรับได้ (อาจจะเป็นเพราะว่าอ้วนขึ้น)

มาที่วันจัดงาน 8 กันยายน 56 ข้าพเจ้าออกจากบ้านตั้งแต่ตี 3 เนื่องจากสุวรรณภูมิ อยู่คนละทิศกับบ้านเลย เผื่อเวลาไว้หลง และกลัวที่จอดรถจะเต็ม เลยเลือกออกแต่เช้าดีกว่า ปรากฏว่าไปถึงสุวรรณภูมิตี 4 ไปเร็วเกิ๊น นั่งหง่าวเลย เพราะระยะ 10km ปล่อยตัวเวลา 6.00 น. ที่จอดรถเค้าจัดให้จอดที่ลานจอดรถระยะยาว มีป้ายบอกทางไปงานวิ่ง adidas เป็นระยะ ค่อยๆขับแล้วมองไป ไม่หลงแน่นอน


 เต้นแอโรบิคกัน

เนื่องจากไปถึงเร็ว ไม่มีอะไรทำ ก็เลยไปถ่ายรูปตาม backdrop เล่น แล้วก็นั่งรอเวลาสักประมาณตี 5 มีนำเต้นแอโรบิคสำหรับคนลงระยะ 16.8km เลยไปแจมเต้นกะเค้าด้วย สนุกดี เค้าทำเวทีให้คนนำเต้นดีอะ อยู่สุงกว่าเราทำให้คนข้างล่างมองเห็นชัด แล้วก็แยกเป็นแท่นๆไป ที่ถูกใจอีกอย่างคือท่าเต้น เป็นท่าแอโรบิคตามสวนสาธารณะจริงๆ แบบเราเต้นตามได้ไม่เขิน ไม่ใช่ท่าเต้นออกเสต๊ป cover dance อะไรแบบนั้น นักวิ่งทั้ง ช ญ เต้นตามกันสนุกสนาน พอ 16.8km ปล่อยตัว ก็มีนำเต้นให้ 10km อีกรอบ สรุปวันนี้ข้าพเจ้ามาเต้นแอโรบิค ฮา......

 สุขาเคลื่อนที่ไฮโซ

หลังจาก 10km ปล่อยตัวก็เดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็เพิ่งรู้ว่า ห้องน้ำเคลื่อนที่ไฮโซอะ มันไม่ใช่สุขาเคลื่อนที่แบบที่เราเคยใช้ เดินขึ้นไปบนรถ มันเป็นพื้นกระเบื้อง แล้วก็เป็นชักโครกทั้งหมด มีห้องอาบน้ำด้วย งานนี้มีรถสุขาประมาณ 5 คัน ดูแล้วคิดว่าเพียงพอสำหรับนักวิ่งสองพันกว่าคน เพราะไม่มีแถวต่อคิวให้เห็นเลย (แต่ช่วงที่วิ่งเสร็จแล้ว ไม่ได้เดินไปดูอีกรอบนะ)
 

เข้าห้องน้ำเสร็จก็เดินไปที่เส้นชัย (งานนี้จุดเริ่มต้น กับ เส้นชัย อยู่คนละจุด) และนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มายืนลุ้นว่าใครจะเข้าเส้นชัยคนแรกของแต่ละระยะ  เห็นสถิตินักวิ่งแนวหน้าแล้วหนาวเลย 10km ปล่อยตัวได้แค่ 25 นาที ก็เห็น 16.8km ชายคนแรกและคนที่ 2 จ้ำเข้าเส้นชัยตีคู่กันมา สรุปว่า แนวหน้าเค้าวิ่ง 16.8km ด้วยเวลาเพียง 55 นาที ถ้าเป็นผู้หญิงคนที่ได้ที่ 1 ใช้เวลา 66 นาที (มองดูตัวเอง 66นาที เพิ่งจะได้แค่ 7 โลกว่าๆ โห หายใจกันทางไหนเนี่ย) ส่วนระยะ 10km ผู้ชายคนแรก ใช้เวลา 36 นาที ส่วนผู้หญิงไม่ได้มองว่าเข้ามาตอนกี่นาที

สำหรับนักวิ่งแนวกลาง ระยะ 16.8km หลังจากปล่อยตัวได้ 1.30 ชั่วโมง และระยะ 10km หลังจากปล่อยตัวได้ 1 ชั่วโมง นักวิ่งก็จะเริ่มทยอยเข้าเส้นชัยกันหนาตาขึ้น

สำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพ เข้าเส้นชัยเวลาไหนไม่สำคัญ ขอแค่เข้าเส้นชัยได้ คุณก็ชนะแล้ว อันนี้เรื่องจริงค่ะ วิ่งมั่ง เดินมั่ง ถึงเส้นชัยได้ ก็ภูมิใจเหมือนกัน ฮิฮิ


ช่วงนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ยืนดูคนวิ่งเข้าเส้นชัย สลับกับดูเครื่องบินที่บินผ่านหัวไป พลางคิดในใจว่า ถ้าวิ่งอยู่ตอนนี้ข้าพเจ้าจะวิ่งได้กี่กิโลแล้วน้า...

 เต้นท์สีขาวๆ คือซุ้มแจกอาหารนักวิ่ง

พอสามีเข้าเส้นชัยแล้ว เราก็ไปเดินสำรวจซุ้มอาหารกัน งานนี้เศร้าตรงที่มีเบอร์วิ่ง แต่ไม่ได้วิ่ง ก็อดกินอะ เพราะเค้าแจกเป็นคูปองให้พร้อมเหรียญที่เส้นชัย ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งก็เลยไม่ได้คูปอง

เกลือแร่ นักเก๊ต ไอติมวอลล์

อาหารหลักของงานนี้คือ นักเก๊ต kfc และ โจ๊กคนอร์แบบเติมน้ำร้อน แอบเซ็งเล็กน้อย จะมีงานไหนแจกข้าวต้ม ข้าวไข่เจียวอะไรแบบนี้บ้างมั๊ยนะ

ระหว่างนั่งกินขนมนม เนย ก็สัมภาษณ์สามีเล็กน้อยเรื่องสนามวิ่ง เค้าบอกว่าจัดได้ดี ปิดถนนให้นักวิ่งทั้ง 2 ฝั่งเลย ไม่ต้องกลัวรถตามจี้ แล้ววันนี้อากาศดีมากๆ ไม่มีแดด ไม่ร้อน วิ่งไปก็มองเครื่องบินไป (T_T อิจฉาที่สุด)

ถ้าปีหน้าจัดที่นี่อีก ข้าพเจ้าว่าก็เวิร์คดีนะ เสียอย่างเดียว ถ้ามีแดดออก จะไม่มีที่หลบแดดกัน เนื่องจากเป็นลานเปิดโล่ง สำหรับคนที่สนใจงานวิ่งนี้ ปีหน้าถ้าเค้าเปิดรับสมัครก็รีบๆหน่อยนะคะ ไม่งั้นจะเหมือนปีนี้ หลายๆคนบ่นว่าสมัครไม่ทัน แต่ถ้าสมัครไม่ทันจริงๆก็มาวิ่งแบบไม่มีเบอร์ได้ค่ะ วิ่งฟรี แต่ไม่ได้เสื้อ ไม่ได้เหรียญ มีน้ำบริการ ส่วนเรื่องอาหารหลังวิ่งไม่แน่ใจค่ะว่าคนไม่มีเบอร์ได้คูปองมั๊ย

สำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็คงต้องงดวิ่งไปอย่างน้อยๆก็ 1 ปี หลังคลอดต้องมาเริ่มซ้อมวิ่งกันใหม่ (เพิ่งจะวิ่ง 10km ได้ไม่นาน ต้องเริ่มใหม่อีกแล้ว เฮ้อ T_T)

ขวัญใจนักวิ่งสาวๆ ดร.นาวิน ตาร์ เข้าเส้นชัยตอน 1.30 ชม.

13 ส.ค. 2556

Review August 12th Bangkok Half Marathon 2013



งานนี้เป็นงานวิ่งเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันแม่ จัดขึ้นวันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2556 อ่านรายละเอียดงานแล้วแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจดี น่าจะเป็นงานใหญ่ คนน่าจะไปวิ่งเยอะ หลังจากงาน Bangkok Post International Run แล้ว ก็คิดว่าถ้าจะวิ่งงานที่จัดใน กทม จะวิ่งเฉพาะงานใหญ่ๆ เนื่องจากคนจะเยอะ ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องวิ่งรั้งท้าย แล้วต้องมาหลบรถเอาเอง เลยตัดสินใจสมัครงานนี้ แต่หลายๆอย่างก็ไม่เป็นอย่างที่คิด

เริ่มจากการสมัครเลย งานนี้ไม่มีสมัครออนไลน์แบบ goadventure อ่ะ!ไม่เป็นไร โอนเงินแล้วส่งอีเมลล์เอาก็ได้ ส่งหลักฐานแล้วรอประมาณ 3 วันก็มีเมลล์ยืนยันกลับมา พอถึงวันที่ต้องไปรับเสื้อ เบอร์วิ่ง ข้าพเจ้าก็ไปแต่เช้า เพราะกลัวคนเยอะ ตอนไปรับเบอร์วิ่ง  เห็นวิธีการหาใบเสร็จที่พลิกหาตั้งแต่ใบแรกจนถึงใบสุดท้ายแล้ว แอบคิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าคนเยอะ รอกันรากงอกแน่ น่าจะมีการใส่รายชื่อในคอมพิวเตอร์ หรือ print รายชื่อออกมาแปะบอร์ดไว้ แล้วให้เจ้าของชื่อไปหาลำดับที่ตัวเองมาแจ้งที่โต๊ะรับใบเสร็จ ส่วนเสื้อกับเบอร์ก็น่าจะจัดเซตไว้เลย สำหรับคนที่สมัครล่วงหน้า เพราะมีการระบุไซส์เสื้อในใบสมัครแล้ว (แต่ตรงนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าวันอื่นๆ เจ้าหน้าที่จัดเซตไว้หรือเปล่า เนื่องจากข้าพเจ้าไปรับวันแรกและไปค่อนข้างเช้า เจ้าหน้าที่อาจจะยังเตรียมการไม่เสร็จ)

รับเสื้อเสร็จ ก็กะว่าจะเดินดูงาน August 12th Half Marathon Bangkok Expo ด้วย ในโบรชัวร์บอกว่า พบกับการออกร้านจากผู้สนับสนุน จำหน่ายเครื่องกีฬาราคาประหยัด ทัวร์วิ่งมาราธอน ทั้งในและต่างประเทศ แล้วก็มีภาพตัวอย่างประมาณนี้


ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้ามโนไปเองว่าน่าจะได้เสียทรัพย์ เพราะตั้งใจจะไปหาชุดกีฬา สปอร์ตบรา ตัวใหม่ และจะไปเล็งรองเท้าวิ่งใหม่ด้วย แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่างานเค้าจัดตรงไหน ถามน้องๆที่นั่งโต๊ะ เค้าก็บอกว่าบริเวณงานมีแค่นี้ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นแต่บูทเสื้อ กางเกงกีฬาแค่ 1 บูท แล้วก็บูทยานวดกับบูท columbia เล็กๆ เลยตัดสินใจกลับดีกว่า ได้แต่คิดว่าวันหลังอย่ามโนไปเอง

ตัดมาที่วันวิ่ง วันจันทร์ที่ 12 สิงหา ระยะ mini marathon และ fun run ปล่อยตัวพร้อมกัน เวลา 6.00 น. แต่เนื่องจากเป็นงานวิ่งเฉลิมพระเกียรติ ก่อนปล่อยตัวจึงมีพิธีจุดเทียนถวายพระพร ร้องเพลงสรรเสริญบารมีและสดุดีมหาราชา กินเวลาปล่อยตัวไปประมาณ 5 นาที


กิโลที่ 1-3 วันนี้ออกตัวไม่แรง วิ่งเหยาะๆอยู่ราวๆ pace 7 ทั้ง 3 กิโล วันนี้คิดไว้แล้วว่าจะพยายามเหยาะๆ และเดินให้น้อย ไม่สนใจว่าจะต้องเข้าเส้นชัยเวลาเท่าไหร่ ช่วง 3กิโลแรกนี้ยังถือว่าเป็นช่วงสบายตัวอยู่ ยังไม่หอบ แต่อากาศอบอ้าวมาก กระหายน้ำตลอด

กิโลที่ 4-6 ยังคงวิ่งไปเรื่อยๆ เริ่มหยุดเดินบ้าง เฉลี่ยแล้ววิ่งอยู่ประมาณ pace 7.3  ช่วงนี้สิ่งที่ทรมานที่สุดคือการกระหายน้ำ จุดให้น้ำจุดที่ 2 ห่างจากจุดแรกประมาณ 3 กิโล ถึงกับต้องซัดน้ำ 2 แก้วเต็มๆ ทั้งๆที่ปกติจะระวังการกินน้ำมาก กลัวจุก แต่วันนี้ไม่กลัวเลย กะว่าถ้าจุกก็เดินเอา ไม่ไหวจริงๆ

 กำลังจะขึ้นสะพานข้ามแยกสามย่าน

กิโลที่ 7 ช่วงกิโลที่ 6.5 เป็นช่วงวิ่งขึ้นสะพานข้ามแยกสามย่าน สะพานนี้ค่อนข้างยาว แต่ไม่ชันเท่าไหร่ พอมีแรงส่งตัว ตอนขึ้นสะพานส่วนใหญ่เค้าเดินเอาแรงกัน แต่ข้าพเจ้าวิ่ง เพราะรู้สึกว่ายิ่งเดินช้า ขายิ่งเกร็ง ยิ่งทำให้เมื่อย เลยตัดสินใจวิ่งดีกว่า พอขึ้นมาบนสะพานคนอื่นเค้าวิ่งกัน แต่ข้าพเจ้าเดิน ฮ่าๆ หมดแรง ช่วงที่วิ่งบนสะพานนี่อากาศดีมาก ลมพัดเย็นสุดๆ และเหมือนฝนทำท่าจะตกด้วย ใจก็ลุ้นอยู่ว่าอย่าเพิ่งตก ไม่อยากเปียก มีหยุดถ่ายรูปเล่นข้างบนด้วย เพราะฉะนั้นกิโลนี้ เอาไปเลย pace 9.2

กิโลที่ 8 กิโลนี้ขึ้นสะพาน ไทย-เบลเยี่ยม สะพานสั้นๆ แต่ชันมาก วิ่งไปได้แค่ครึ่งทาง ต้องหยุดเดิน ไม่ไหวจริงๆ กิโลนี้วิ่งอยุ่ที่ pace 8.3 ก่อนวิ่งขึ้นสะพาน มีดราม่า แบบว่าตำรวจเค้าปิดสะพานให้นักวิ่ง รถข้างล่างก็เลยค่อนข้างติด วันนี้ถึงจะเป็นวันหยุดแต่บางออฟฟิสเค้าก็ไม่หยุด แล้วงานก็ปล่อยตัวค่อนข้างช้า ทำให้ส่งผลกับคนใช้รถใช้ถนน ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่าคนที่เค้าไม่ได้ชอบวิ่งเค้าก็คงหงุดหงิดและไม่เข้าใจนั่นแหละ แต่การบีบแตร ส่งสายตาอำมหิต หรือการตะโกนบอกให้นักวิ่งรีบๆวิ่ง รถติดมากเพราะพวกคุณ ด้วยกิริยาเกรี้ยวกราด เห็นแล้วก็เซ็งนะ 

กิโลที่ 9-11 วิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ pace 8.3-9.0 เนื่องจากหมดแรงแล้ว เจอไป 2 สะพานติดกัน ขาแทบไม่มีแรง หลังๆเน้นเดิน สรุปว่าเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 90 นาที พอๆกับงานบางกอกโพส คิดว่าช่วงนี้คงวิ่งมินิประมาณ 90 นาทีไปก่อน ยังไม่มีเวลาออกไปซ้อมมากนัก 

 เหรียญหมด ต่อคิวเขียนชื่อ ที่อยู่

ตอนเข้าเส้นชัย เกิดอาการเซ็งอีกอย่างคือ เหรียญหมด ตอนแรกไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนมาออกันตรงเส้นชัย พอขยับไปถึง คนกำลังเขียน ชื่อ ที่อยู่ให้ส่งเหรียญไปให้ แอบเซ็งถึงที่สุด ตั้งแต่เริ่มวิ่งมา งานนี้เป็นงานแรกที่อดได้เหรียญ แล้วมารู้ทีหลังจากกระทู้ในพันทิบว่า เหรียญหมดตั้งแต่มินิ 80 นาที สาเหตุก็มาจากคนสมัครหน้างานเยอะเกิน คือผู้จัดไม่ได้คำนวณเลยว่าเหรียญมีเท่าไหร่ ถ้าจะรับสมัครหน้างานรับได้เท่าไหร่ แล้วปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 21 คุณไม่สามารถกะคร่าวๆได้เลยหรอว่าจะมีนักวิ่งมาร่วมงานประมาณเท่าไหร่ ไม่อยากบ่นให้เสียอารมณ์ แต่มันเซ็งจริงๆนะ


ยังดีได้ต้นมะลิกลับบ้าน แต่อยากได้เหรียญมากกว่า

พอรู้ว่าไม่ได้เหรียญ ข้าพเจ้าก็เดินไปดูซุ้มแจกต้นมะลิ ปรากฏว่ายังพอมีเหลือ เลยไปรับต้นมะลิแทน จากนั้นก็เดินไปหาซุ้มแจกอาหาร แต่เดินไปดูแล้วก็ งงๆ หาซุ้มไม่เจอ แอบเห็นบางคนถือถุงที่มีกล่องนม ขนมปังในนั้น ข้าพเจ้าก็พยายามมองหา แต่ไม่เจอ เจอแต่โต๊ะว่างเปล่าและถาดแตงโมที่มีแตงโมชิ้นเล็กๆหั่นวางอยู่ แล้วก็ป้าที่นั่งแจกซาลาเปา+ข้าวเหนียวหมูฝอย ก็เดินไปรับมา ตอนเดินไปหาน้ำกิน ผ่านซุ้มโจ๊กโรซ่า เลยแวะรับมาชิม ซาลาเปากับโจ๊กพอกินได้ แต่ข้าวเหนียวหมูฝอย กินไม่ได้เลย ข้าวเหนียวแข็งมาก เอาไปทอดเป็นข้าวแตนได้เลย ปกติถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงจะเป็นคนไม่ทิ้งของกิน แต่อันนี้ขออนุญาติทิ้งนะคะ มันกินไม่ได้จริงๆ  อยากให้มีงานวิ่งไหนสักงาน แจกข้าวผัดกระเพรา หรือข้าวไข่เจียวจริงๆ T_T


สรุปว่างานนี้ไม่ประทับใจอย่างแรง ครั้งหน้าไม่เอาอีกแล้ว เรื่องของกินยังไม่เท่าไหร่ ไม่ได้งกกินขนาดนั้นแต่เรื่องเหรียญนี่ทำเอาเซ็งสุดๆ ปกติจะต้องถ่ายรูปกับเหรียญตอนเหงื่อโทรมๆ ทุกครั้งที่จบงาน แต่ครั้งนี้ไม่มี เสียใจ T_T แล้วอีกอย่าง งานวิ่งวันจันทร์ใน กทม ไม่เอาอีกแล้ว สงสารคนใช้รถใช้ถนน สงสารตัวเองด้วย ต้องมาถูกกดดันให้วิ่งเร็วๆ


5 ส.ค. 2556

Review Bangkok Post International Run 2013



Bangkok Post International Run 2013 จัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2556 งานนี้จัดชนกับงานสวนหลวง ร.9 มินิมาราธอน จริงๆตอนแรกข้าพเจ้าก็ว่าจะไปที่สวนหลวง ร.9 แต่คิดไปคิดมา มันค่อนข้างไกลบ้าน ถ้ามีงานที่จัดใกล้กว่า ก็ควรไปงานใกล้กว่า แล้วอีกอย่างงานนี้สามารถสมัครวิ่งผ่าน goadventure ได้เลย (ส่วนตัวไม่ค่อยชอบระบบโอนเงินแล้วต้อง fax หรือ อีเมลล์หลักฐานการโอนเงิน มันดูหลายขั้นตอน และกลัวว่ารายชื่อจะตกหล่นด้วย เลยชอบระบบตัดเงินออนไลน์ พร้อมแจ้งเมลล์ยืนยันทันทีแบบนี้มากกว่า)

งานวิ่งงานใหญ่ๆ จำเป็นต้องสมัครล่วงหน้าก่อนนะคะ หลายๆงานไม่รับสมัครหน้างาน (หรือรับก็รับเฉพาะระยะ fun run) เพราะคนจัดงานต้องเตรียมน้ำ อาหาร เหรียญ เสื้อ ให้พอกับจำนวนคนที่มาสมัคร เมื่อวันเสาร์ไปรับเสื้อที่ central world เห็นหลายๆคนอยากสมัคร แต่ก็สมัครไม่ได้เพราะเต็ม  (หรือจริงๆอาจจะไม่ได้เต็ม แต่เพื่อป้องกันความวุ่นวายก็ต้องบอกปัดไป) 

เช้าวันอาทิตย์ ตื่นมาจัดการธุระส่วนตัว ไปถึงงานประมาณตี 4.30 (10 กิโล ปล่อยตัว ตี 5.30) งานนี้ดีหน่อยตรงที่สามารถจอดรถชั้นใต้ดิน ใน central world ฝั่ง อิเซตัน ได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่จอดรถ (3 ชม.แรก จอดฟรี) วันนี้รอปล่อยตัวแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบ เพราะกะเวลามาเหลือเฝือ ได้ยืด เหยียด วอร์ม จนเหงื่อผุดเล็กน้อย และงานนี้เป็นงานแรกที่ทันเต้นแอโรบิคกับเค้า แต่พอเห็นท่าเต้น ออกเสต๊ปของน้องๆที่นำเต้นแล้ว ข้าพเจ้าถอยกรูดออกมาเลย ฮ่าๆ ไม่ไหวอะ อายเค้า ท่าเยอะมาก ตามไม่ทัน ตอนแรกนึกว่าเหมือนแอโรบิคที่เค้าเต้นตามสวนลุมกัน

ได้เวลาปล่อยตัว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เดินออกไปเกาะกลุ่มกับนักวิ่งแถวหน้า เนื่องจากกังวลว่าจะวิ่งเข้าเส้นชัยไม่ทัน 90 นาที (ในเวบ goadventure เขียนไว้ว่า จำกัดเวลา 90 นาที) คือปกติก็วิ่งอยู่แถวๆ 80-90 นาทีอยู่แล้ว ถ้าออกตัวหลังๆ มันจะยิ่งช้าไปกันใหญ่ ได้เวลาปล่อ่ยตัวปุ๊บ นักวิ่งแถวหน้าเค้าก็ใส่กันไม่ยั้ง ข้าพเจ้ากลายเป็นเต่าขวางทาง - -" ไม่อยากออกตัวแรง กลัวหมดแรง และกลัวที่สุดคือ จุกกับเจ็บซี่โครงเหมือนที่ผ่านๆมา


กิโลที่ 1-2 วิ่งอยู่ประมาณ pace 6.5 และผลจากการไม่ได้ซ้อมวิ่งเลย (หลังจบพัทยามาราธอน ก็ยังไม่ได้ออกไปซ้อม) เข้ากิโลที่ 3 หอบ เหนื่อย และหยุดเดิน ตอนนั้นคิดในใจว่า ไม่รอดแน่ๆ แค่ 3กิโล หอบเหมือนสมัยหัดวิ่งแรกๆ แต่อีกใจก็ปลอบใจตัวเองว่า ผ่านมาตั้ง 3 สนามแล้ว สู้หน่อยสิ เหนื่อยแค่ตอนนี้แหละ เดี๋ยววิ่งจบ ได้เหรียญก็หายเหนื่อยแล้ว ตอนนี้เห็นแต่คนวิ่งแซงเราไปทีละคน ทีละคน ใจแป้วหล่ะ หันไปมองข้างหลัง อืม ก็ยังพอมีคนอยู่ข้างหลังบ้าง แต่ถ้าเรายังวิ่งๆเดินๆอย่างนี้ นอกจากจะรั้งท้ายแล้วยังไม่ทัน 90 นาทีแน่ๆ

กิโลที่ 3-4 วิ่งอยู่ที่ pace 7.4 พอถึงกิโลที่ 4 จะมีจุดให้น้ำ ตอนนั้นทั้งเหนื่อย ทั้งกระหาย หันไปบอกคุณแฟนว่า รับน้ำเผื่อหน่อยดิ อยากเดินหายใจสักพัก แล้วข้าพเจ้าก็เดินๆๆๆๆ สักพักคุณแฟนตามมาแล้วบอกว่า ไม่มีน้ำเปล่า มีแต่เกลือแร่ สงสัยน้ำเปล่าอยู่ซุ้มแรก (เค้าเห็นว่าซุ้มแรกคนเยอะ เลยเลี่ยงมาเอาซุ้มถัดไป พอเห็นว่าไม่มี ก็ไม่อยากวิ่งย้อนไปเอาแล้ว) พอได้ยินคำว่าไม่มีน้ำเปล่า แทบหมดแรงตรงนั้น หิวน้ำมาก กินเกลือแร่เข้าไปมันก็หวานติดลิ้น แอบแปลกใจว่า 10 กิโลทำไมต้องมีน้ำเกลือแร่ ข้าพเจ้าว่านักวิ่งต้องการน้ำเปล่ามากกว่านะ เพราะนี่มันระยะสั้นมาก บางคนวิ่ง 10กิโล ไม่กินน้ำเลยก็มี แต่สุดท้ายก็ต้องอดทน ทำอะไรไม่ได้ พยายามวิ่งเร็วขึ้น หยุดเดินให้น้อยลง เพื่อจะไปกินน้ำกิโลที่ 6 (เป็นการวิ่งที่ดูมีเป้าหมายมาก ฮ่าๆ)

กิโลที่ 5-6 วิ่งอยู่ที่ pace 7.5 จะเห็นว่านี่ขนาดรีบวิ่งไปกินน้ำ ก็ยังอยู่ที่ความเร็วเดิม (แต่ ณ ขณะวิ่งบอกเลยว่า เร่งสุดๆแล้ว) พอเห็นป้ายกิโลที่ 6 เราก็เฝ้ามองหาป้ายที่เขียนว่า 100m water แต่วิ่งไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นสักที ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก อย่างน้อยเราน่าจะจำจุดให้น้ำไว้มั่งว่ามีกิโลไหน ถึงตอนนี้เริ่มวิ่งให้เร็วขึ้นและพยายามไม่หยุดจนกว่าจะได้น้ำ เพราะถ้ายังวิ่งช้าอยู่อย่างนี้เราจะยิ่งกระหายและแย่กว่าเดิม กว่าจะเจอจุดให้น้ำจุดที่ 3 ก็เกือบเข้ากิโลที่ 7 ทำให้ pace กิโลที่ 7 ขยับขึ้นมา 7.2

หลังจากซัดน้ำไป 2 แก้ว สถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ กิโลที่ 8-9-10 วิ่งอยู่ที่ pace 8.3 หมดแรงแล้ว วิ่งไปก็ปลอบใจตัวเองไปว่า อีกแค่ 10ก้าว เดี่ยวกิโลที่ 8 ก็อยู่ข้างหลังเรา พอครบ 10 ก้าว ก็ท่องซ้ำในใจไปอีก มีวิ่งๆไปแล้วหยุดร้อง เฮ้อ! เป็นระยะ เหมือนได้ระบายความอึดอัด พอเห็นป้ายกิโลที่ 8 ก็ท่องใหม่ อีก 10ก้าว เดี๋ยวกิโลที่ 9 ก็อยู่ข้างหลังเรา ตอนนี้หันไปดูข้างหลัง อืม คนโหลงเหลงแล้ว ทำไงละทีนี้ เวลาจะข้ามแยกที่ เหนื่อยมาก! ต้องสปีดจนหอบ เพราะตำรวจเค้าก็ไม่อยากกั้นให้นาน เดี๋ยวคนจะบ่น พอพ้นแยกทีนึงก็เดินหอบ ลิ้นห้อยเลย

ตอนช่วงกิโลที่ 10 (งานนี้ผู้จัดบอกว่าระยะ 10.7 กิโล แต่ nike ข้าพเจ้าวัดไป 11.2 กิโล) มีคุณน้องคนสวยคนนึงหันมาพูดว่า ถ่ายวิดีโอค่ะ ข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า ให้ถ่ายวิดีโอให้เธอหน่อย แต่ไม่ใช่ เธอบอกว่า มาถ่ายด้วยกันค่ะ พร้อมกับเปิดกล้องหน้า เห็นหน้าตัวเองในกล้องแล้วตกใจเล็กน้อย สภาพดูไม่ได้จริงๆ หน้า ผม ไม่ไหวๆ คุณน้องเธอพูดกับกล้องว่า เตรียมตัวเข้าเส้นชัยกันค่ะ ข้าพเจ้าก็ยิ้มเล็กน้อย ชูสองนิ้ว แล้วพูดออกไปว่า ค่ะ! พร้อมกับเสียงหอบ แล้วคุณน้องคนสวยก็ปิดกล้อง แล้วปล่อยให้ข้าพเจ้าวิ่งต่อไป ข้าพเจ้าก็ยังงงเล็กน้อยว่า วิดีโอมันสั้นไปป่าว ฮ่าๆ ถ้าคุณน้องได้มีโอกาสมาอ่านบันทึกของพี่ เจอกันงานหน้า เดี๋ยวคุณพี่จะเตรียม dialog ให้มันเป๊ะกว่านี้ พร้อมเสื้อผ้าหน้าผมค่ะ ก็เป็นมิตรภาพเล็กๆน้อยๆจากสนามวิ่งค่ะ

700 เมตรก่อนเข้าเส้นชัยนี่ก็ทรมานเหมือนกันนะ วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที พอเห็นเส้นชัย เริ่มรู้สึกดี อย่างน้อยๆเราก็ได้เห็นความพยายาม ความอดทนของตัวเอง ลากสังขารมาจนถึงเส้นชัยได้ (เนื่องจากท้อแท้ตั้งแต่กิโลที่3) ลบล้างความคิดว่าวิ่งไม่ไหวออกไปจากหัว เงยหน้ามองเวลา ใช้เวลาไป 86 นาที คิดในใจ โหย! เค้าให้ 90 นาที ใช้คุ้มเลยนะหล่อน (อ้อ! งานนี้ไม่จุก ไม่เจ็บซี่โครงแล้วนะ ดีใจ T_T)

mini สนามที่ 4 แล้วจ้า

พอเข้าเส้นชัยได้ก็เดินหาซุ้มน้ำทันที แต่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงซุ้มน้ำ คือต้องย้อนมาไกลมาก  อาหารหลังเข้าเส้นชัยงานนี้เป็น เบอร์เกอร์ของ Mc ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะปกติไม่ค่อยกินอาหารพวกนี้อยู่แล้ว แอบรู้สึกว่างานวิ่งน่าจะเป็นอาหารที่ดู healthy กว่านี้หน่อยนะ (ขนมปัง farmhouse ยังดูดีกว่าอีก) แต่ก็กินนะ เสียดายของ หิวด้วย

เบอร์เกอร์ Mc ไม่อร่อย

โดยรวมแล้วงานนี้ก็โอเค น้ำ อาหาร เหรียญมีพอ ไม่วุ่นวายเท่าไหร่ ถ้าจะไม่ชอบก็คงเป็นเส้นทางวิ่งนี่ล่ะ รู้สึกว่าในกรุงเทพไม่น่าวิ่งเลย เพราะเราต้องวิ่งตีคู่ไปกับรถบนถนน สูดควันพิษกันเพลินเลย ขนาดหอบๆ เจอรถเมล์ปล่อยควันดำยังไม่อยากหายใจเลย ต้องเอาผ้าอุดจมูกหายใจ จังหวะข้ามแยก ข้ามไฟแดงอีก สำหรับคนใช้รถใช้ถนนก็คงคิดว่า บ้าป่าว มาวิ่งกลางถนน กีดขวางจราจร ทำให้รถติด อะไรแบบนี้ (เสียงบีบแตรมาเป็นระยะๆ) นักวิ่งแนวหลังแบบข้าพเจ้าก็แอบกดดันนะ อยากจะไปวิ่งท่ามกลางธรรมชาติ เสียงนก เสียงกา ต้นไม้ ดอกไม้ริมทางเหมือนกัน แต่ว่านี่มันกรุงเทพจะไปหาที่ไหนล่ะ

ปล. หลังจากรับน้ำ รับอาหารเสร็จ ยืด เหยียด สักพัก หันไปดูเส้นชัย อ่ะ ก็ยังมีคนวิ่งเข้าเส้นชัยเรื่อยๆนี่นา เกินเวลา 90 นาทีแล้วด้วย สรุปว่า ที่ข้าพเจ้ากังวลมาตลอดว่าจะวิ่งไม่ทัน 90 นาทีก็สูญเปล่าอะดิ O_o 

ชอบลุงคนนี้ แนวดี ฟังเพลงเพราะๆก่อนเข้าเส้นชัย

22 ก.ค. 2556

Review Pattaya Marathon 2013



และแล้วก็มาถึงวันงาน Pattaya Marathon 2013 ซะที หลังจากซ้อมวิ่งระยะ Half มา 14 สัปดาห์ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงวิ่งระยะ Half เนื่องจากดูสภาพร่างกายแล้วคิดว่าคงไม่สามารถจบ  Half ได้ภายใน 3 ชั่วโมงแน่นอน (เพิ่งทราบตอนหลังว่าพัทยามาราธอนให้เวลา Half 3.30 ชม) แต่ก็รู้สึกว่าโชคดีมากที่ไม่ได้ลงระยะ Half เพราะตั้งแต่ย่างเข้าสู่เดือนกรกฏาคม ไม่ได้ซ้อมวิ่งเลย ติดธุระต่างจังหวัด 2 สัปดาห์ หาที่วิ่งไม่ได้เลย มีแว้บมางานวิ่ง Run for Health Run to Help เมื่อวันที่ 7 แค่นั้น แล้วก็โผล่มาที่พัทยามาราธอนเลย ผลจากการไม่ได้ซ้อมเลย ทำให้สนามนี้จบมินิมาราธอน เวลา 90 นาที (ยิ่งวิ่งยิ่งถอยหลังเข้าคลอง ฮ่าๆ)

ทริปนี้ออกเดินทางตั้งแต่วันศุกร์ตอนเช้า เพราะไม่อยากเจอคลื่นมหาชนตอนเย็น (หยุดยาว 3 วัน) มีแวะถ่ายรูปที่ Pattaya Sheep Farm พักนึง


จากนั้นก็เข้าไป check in ที่โรงแรมเลย ข้าพเจ้าเลือกพักที่ Bay Breeze Hotel 2 คืน จองผ่าน agoda ใช้แต้มแลก จ่ายเพิ่มแค่ 645 บาท โรงแรมอยู่ห่างจาก central pattaya beach ซึ่งเป็นจุดปล่อยตัวประมาณ 400 เมตร เดินไปประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว


ขอบ่นโรงแรมนิดนึง ห้องเหม็นบุหรี่มาก พนักงานบอกให้ย้ายไปอีกห้องนึงอยู่ชั้น 5 พอเดินเข้าไปก็ยังเหม็นอยู่ดี (แค่กลิ่นเบากว่าห้องแรก) เลยบอกว่าเอาห้องเดิมที่ชั้น 8 ดีกว่า แล้วพนักงานก็ให้แม่บ้านมาทำโอโซนอะไรสักอย่าง ตอนแรกก็โอเคกลิ่นหาย สัก 1 ชม ผ่านไป กลิ่นกลับมาอีกแล้ว ก็ไม่อยากเรื่องมากเลยทนๆอยู่ไป แล้วตอนกลางคืนเสียงจากคาราโอเกะ ดังขั้นมาถึงชั้น 8 แน่ะ ได้ยินชัดแจ๋ว ต้องอาศัยฟังเพลงให้มันเพลินไปเรื่อยๆจนหลับไปเองทั้ง 2 คืน (ถ้าปีหน้ามาอีก คงเลี่ยงไปนอนแถวๆหาดจอมเทียนดีกว่า อยู่ในเมืองก็คงเป็นแบบนี้ทุกโรงแรม เพราะส่วนใหญ่มีแต่ร้านนวดกับคาราโอเกะ)

ตอนเช้ามีบุฟเฟต์โรงแรมให้ด้วย แต่อาหารน้อย แทบไม่มีอะไรให้กินเลย มีหลักๆก็ ไข่ดาว เบคอน ใส้กรอก มันผัด สลัด โยเกิร์ต ซีเรียล ขนมปัง กับข้าวไทยมีแค่ 1 อย่างต่อวัน + ข้าวสวย (วันแรกต้มยำไก่ วันที่สอง แกงเขียวหวานไก่ รสชาติฝรั่งแต่ก็อร่อยใช้ได้ค่ะ แค่ไม่จัดจ้านแบบคนไทยกิน)

ถ่ายจากหน้าต่างห้องพัก เห็นเซนทรัลอยู่ไม่ไกล

วันเสาร์เข้าไปรับเสื้อและเบอร์วิ่งที่เซนทรัล พัทยาบีช ชั้น G รีบไปแต่เช้า เพราะกลัวคนจะเยอะ เดี๋ยวจะวุ่นวาย ปรากฏว่าไปถึง คนก็รุมประมาณนึงแล้ว และไม่มีเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเลยว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ไปยืนงง ยืนชะเง้ออยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจไปต่อแถวรับเสื้อเบอร์ แต่เห็นคนที่เค้ารับเสื้อได้ต้องถือใบเสร็จสีเหลือง แต่ในมือข้าพเจ้าไม่มี จำใจเดินออกจากแถวเงียบๆ แล้วไปตั้งหลักใหม่ เดินไปดูโต๊ะที่คนรุมเยอะๆ ก็พอจะเข้าใจได้ว่าน่าจะต้องมาหาใบเสร็จที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปต่อคิวรับเสื้อ เบอร์วิ่ง กว่าจะเสร็จก็ปวดหัวพอประมาณ 

คนเริ่มทยอยหลั่งไหลเข้ามา หลังจากข้าพเจ้ารับเสื้อเบอร์ตัวเองเสร็จ


เสื้อของผู้ชายกับผู้หญิงจะไม่เหมือนกันนะคะ ผู้หญิงเป็นเสื้อแขนกุด (ซ้าย) ผู้ชายเป็นเสื้อกล้าม (ขวา) เนื้อผ้าไม่รู้เค้าเรียกว่าอะไร คล้ายๆผ้ามุ้งแบบนั้น บางมาก (ยังดีว่าของผู้หญิงมีซับด้านหน้าให้อีกชั้น)

ตัดกลับมาเช้าวันวิ่ง มินิมาราธอนปล่อยตัว 5.45 น. ตื่นตั้งแต่ตี 4 กินขนมปัง นม แล้วก็ซัดน้ำไป 2 แก้วใหญ่ๆเพื่อช่วยในการขับถ่าย ยืดเส้นยืดสาย บิดตัว บิดลำใส้ ตอนแรกนึกว่าต้องแบกอึไปวิ่งแล้ว ดีที่ร่างกายยอมขับถ่ายออกมาตอนประมาณตี 5กว่า พอออกจากห้องน้ำ เหลือบดูนาฬิกา โหย ตี5.20 แล้ว ทีนี้เดินตัวปลิวออกจากโรงแรมไปหน้าหาดเลย เดินไปถึงจุดปล่อยตัว ได้ยินพิธีกรประกาศว่าอีก 5 นาทีจะปล่อยตัว ก็รีบจ้ำไปต่อแถว แต่เดินไกลมาก ไม่ถึงหางแถวสักที ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ พอได้เวลาปล่อยตัว หันหลังไปดูข้างหลังเสียหน่อย โห! หลังข้าพเจ้ายังมีอีกเพียบ คนเยอะมาก


ช่วงกิโลแรกไม่ต้องพูดถึง เหยาะๆพันแข้งพันขากันไป เพราะคนเยอะมาก แต่ก็รู้สึกว่าวิ่งสนุกดี มองไปทางไหนก็มีแต่คนวิ่งเหมือนเรา แล้ววันนี้อากาศดีมากๆ ครึ้ม แดดไม่ออก มีแต่ลมเย็นๆ แต่ใจก็ยังหวั่นๆกลัวฝนจะตก  ไม่อยากวิ่งกลางสายฝน

สนามนี้ข้าพเจ้าพยายามไม่ออกตัวเร็วและแรง เพราะกลัวอาการจุกมากๆ กิโลที่ 1 เลยวิ่งอยู่ประมาณ pace 8 กิโลที่ 2-3 คนเริ่มทิ้งห่างออกไปแล้ว เริ่มมีช่องว่างทำให้ขยับ pace ขึ้นมาที่ pace 7 ช่วงนี้วิ่งคลอไปกับชมรมวิ่งที่เป็นคุณลุง บีบแตร ปี๊บๆ เค้าจะวิ่งไป ท่องกลอนกันไป ข้าพเจ้าก็แอบฟังด้วย เพลินดี

พอเข้ากิโลที่ 4-5-6 อาการจุกท้อง เจ็บซี่โครงกลับมาหลอกหลอนข้าพเจ้าอีกแล้ว ทั้งจุกและเจ็บ แทบจะวิ่งไม่ออกเลย แต่ก็ฝืนวิ่งไป สลับกับหยุดเดินเป็นพักๆ 3กิโลนี้วิ่งอยู่ที่ pace 8 กลุ่มคุณลุงบีบแตร แซงไปไกลแล้ว เงียบเหงาเลยทีเดียว ฮ่าๆ

เข้ากิโลที่ 7 pace ร่วงไป 8.3 กิโลที่ 8 มีเม็ดฝนปรอยๆลงมานิดหน่อย กลัวว่ายิ่งช้าจะยิ่งเปียกเลยพยายามสับขาให้ไวขึ้นหน่อย ตอนนั้นคิดแต่เรื่องวิ่งหนีฝน พอรู้ตัวอีกทีก็หายจุกท้องแล้ว แถมฝนที่ทำท่าว่าจะปรอยๆลงมาก็หายไป กิโลนี้ pace เลยขยับขึ้นมาที่ 8 

กิโลที่ 9-10 เหนื่อยและล้ามาก เดินบ่อยด้วย วิ่งไปก็บ่นไป โฮ้ย! เหนื่อย โฮ้ย! ไม่ไหวแล้ว pace อยู่ที่ประมาณ 8.3 เข้าเส้นชัย ใช้เวลาไปทั้งหมด 90 นาทีเป๊ะ แต่ nike+ ข้าพเจ้าวัดระยะได้ 11.5 กิโล เกินไปตั้ง 1  กิโล


มินิสนามที่ 3 จ้า

เข้าเส้นชัยมาก็รับเหรียญ แล้วเดินออกไปหาน้ำกิน งานนี้ขอชมเรื่องน้ำ อาหารหลังเส้นชัย พร้อมมากๆ ไม่ต้องต่อคิว เดินมาหยิบได้เลย (เอ๊ะ! หรือว่าเราเข้าเส้นชัยช้า) ที่ชอบที่สุดคือซุ้มแตงโม ผ่ากันสดๆ อาจจะต้องต่อแถวบ้างนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ชอบความสดมากกว่า ถ้าผ่าทิ้งไว้นานมันไม่น่ากินเลย นอกจากนี้ก็มีซุ้มเกลือแร่ ซุ้มแจก น้ำ ขนมปัง กล้วย ที่จัดเป็นเซตไว้ ดูแล้วถึงนักวิ่งจะเยอะขนาดนี้แต่ก็น่าจะเพียงพอนะ

ซุ้มน้ำหลังเส้นชัย น้องๆเทกันไม่หยุด


ซุ้มแตงโม ผ่ากันสดๆ หวาน ฉ่ำ อร่อยมากๆ

สรุปแล้วพัทยามาราธอนนี้จัดได้ดีกว่าที่คิดไว้เยอะ เพราะเดือนที่แล้วเห็นมีปัญหาเรื่อง organiser จนงานเกือบจะล่ม ทำให้หวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่อาทิตย์ยังไม่ได้ organiser แล้วจะเตรียมการอะไรทัน พอวันวิ่งจริงเห็นนักวิ่งมาเยอะขนาดนี้ยังคิดเลยว่า สงสัยได้แวะซื้อน้ำที่ 7-11 กินแน่ๆ แต่ก็ผิดคาด น้ำมีพอ และไม่ต้องต่อคิวให้เสียเวลาด้วย ยกเว้นจุดให้น้ำจุดแรก ที่คนรุมกันเยอะมาก (เนื่องจากช่วงกิโลแรกๆ คนยังไม่กระจายออกไป) ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจผ่าน ไปเอาน้ำจุดที่ 2 ดีกว่า เพราะยังไม่ค่อยกระหายเท่าไหร่


วิ่งเสร็จกำลังจะเดินกลับโรงแรม จู่ๆก็ไปจ๊ะเอ๋กับคนนี้เข้า นาวิน ตาร์ เท่มาก หน้าใสมาก วิ่งเก่งด้วย แต่เห็นแล้วสงสารเลย เหมือนเค้ากำลังจะรีบเดินไป แต่คนดึงถ่ายรูปไว้ตลอด เลยแอบแชะจากไกลๆละกัน ได้ข่าวว่า ตูน บอดี้แสลม กับ ก้อย รัชวิน ก็มา แต่ข้าพเจ้าไม่เห็น ส่วนเดี่ยว oic เห็นตอนวิ่งกลับตัวแล้วแว้บนึง อันนั้นก็น่าสงสาร วิ่งๆอยู่ คนขอถ่ายรูปตลอด เหมือนกับว่าต้องวิ่งเหยาะๆ คลอๆไปให้คนถ่ายรูปคู่

10 ก.ค. 2556

Review Run For Health Run To Help

จุด start รูปจาก shutterrunning.com

สัปดาห์นี้ไปวิ่งงาน Run For Health Run To Help  จัดขึ้นที่กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี เป็นงานวิ่งการกุศลเพื่อหมาแมว ที่สมัครไว้เพราะจัดใกล้บ้าน  แต่ปรากฏว่าวันก่อนวิ่งต้องไปต่างจังหวัด เช้าวันวิ่งเลยต้องตื่นตี 3 เพื่อขับรถมา กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี ตอนแรกคิดว่าจะไม่มาแล้ว เนื่องจากเหนื่อยมาก ถ้าตัดสินใจไปวิ่งจะได้นอนแค่ 3 ชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ฝืนตื่นมาจนได้ อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ไม่มีเวลาออกมาซ้อมวิ่งเลย แถมยังอดนอนอีก หวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าจะวิ่งไม่ไหว ปกติข้าพเจ้าไม่กินกาแฟ แต่วันนี้ตัดสินใจกินกาแฟดีกว่า กลัววิ่งไปหลับไป

มาถึงงานตอนประมาณตีห้า (ที่จอดรถเยอะดี) เข้าไปรับเสื้อ รับเบอร์วิ่ง แล้วก็เข้าห้องน้ำจัดการธุระหนัก จากนั้นก็มายืนวอร์มอัพ รอเวลาปล่อยตัวหกโมง แต่ยืนได้สักพัก ก็ปวดท้องอีก ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำอีกรอบ (โชคดีที่เจอห้องน้ำในอาคารหน้างาน เพราะตอนแรกเห็นแต่สุขาเคลื่อนที่) ออกมาจากห้องน้ำ เค้าก็วอร์มเสร็จกันพอดี เราก็ยืดเหยียด รอปล่อยตัว

  ก่อนปล่อยตัวสิบนาที ยังร่าเริง

หกโมงได้เวลาปล่อยตัว 10.5 กิโลเมตร งวดนี้เข้าประจำที่ประมาณกลางๆ ไม่ได้อยู่ท้ายแถว ออกตัวเริ่มวิ่งด้วย pace 7.30 เข้ากิโลที่ 2 ซิกแซกจนได้ pace  6.50 พอเข้ากิโลที่ 3 เริ่มหมดแรง ไม่อยากวิ่งต่อ รู้สึกเหนื่อยมาก กิโลที่ 3-4 อยู่ที่ pace 7.30  เข้ากิโลที่ 5 อันนี้ท้อของจริง เหนื่อยด้วย ขาล้าด้วย ไม่ได้วิ่งแค่ 10 วัน เหมือนเริ่มวิ่งใหม่เลย กิโลที่ 5-6 วิ่งอยู่ pace 8.10 เริ่มเดินๆ วิ่งๆ ตอนแรกอยู่ประมาณนักวิ่งแนวกลาง ตอนนี้ร่นมานักวิ่งแนวหลังแล้ว พอถึงจุดให้น้ำต้องต่อคิวรับน้ำ เพราะคนเทน้ำเทใส่แก้วไม่ทัน ก็เลยพอได้หยุดพักหายใจบ้าง แต่จริงๆมันก็ไม่เวิร์คนะ ให้ต่อคิวรอเทน้ำเนี่ย เราวิ่งมาเหนื่อยๆ ให้หยุดกึก เดินก็เดินไม่ได้ หยุดเฉยๆก็หยุดไม่ได้ เลยต้องยืนย่ำเท้าอยู่แบบนั้น แอบเซ็งเล็กน้อย

เข้ากิโลที่ 7 นี่่ท้อเกินบรรยาย คิดในใจว่าเดินเข้าเส้นชัยเอาก็ได้มั้ง ไม่ไหวแล้ว แทบจะวิ่ง 100 เมตร เดิน 100 เมตร วิ่งไปก็มองคนข้างหน้าว่าเค้าจะกลับตัวกันเมื่อไหร่ ใกล้ถึงจุดกลับตัวหรือยัง สรุปว่ากิโลที่ 7 วิ่งอยู่ pace 8.40

กิโลที่ 8 นี่เกิดปัญหา ปวดท้องหนัก ปวดแบบท้องเสีย คิดในใจว่าแย่แล้ว กว่าจะวกไปถึงปั้มที่วิ่งผ่านมา ไม่ทันแน่ๆ ตอนนั้นไม่คิดเรื่องวิ่ง เรื่องเหนื่อยแล้ว คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้เข้าห้องน้ำทัน ข้าศึกประชิดหน้าประตูขนาดนี้ เป็นผลให้กิโลที่ 8 กลับมาวิ่ง pace 8 อย่างไม่รู้ตัว พอเข้ากิโลที่ 9 อาการปวดท้องหายไป เริ่มรู้สึกโล่งอก อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องวิ่งลงข้างทาง กิโลที่ 9 เลยเดินซะมากกว่าวิ่ง pace อยู่ที่ 8.40 อีกแล้ว พอเข้ากิโลที่ 10 เกิดแรงฮึดสุดท้าย บอกตัวเองว่าทนมาได้ตั้ง 9 โลแล้ว ทนอีกนิดนะ พยายามวิ่งไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุดเดิน ประกอบกับช่วงกิโลสุดท้ายนี้ ตากล้องเยอะมาก พอจะหยุดวิ่ง เจอกล้องอีกแล้ว (เวลาเห็นกล้องต้องตั้งท่าวิ่งเพื่อความสวยงาม ฮ่าๆ) สรุปเลยไม่ได้หยุดวิ่งกันพอดี รู้ตัวอีกที ก็จะถึงเส้นชัยแล้ว เลยเหยาะๆเข้าเส้นชัยไปตามระเบียบ ทำเวลาไป 82 นาที (อยากจบที่ 70 นาทีบ้าง)

เหนื่อยมาก ยิ้มแห้งๆ

พอเข้าเส้นชัยได้ก็เกิดอาการงุนงง ได้แต่กล่องขนม ทำไมไม่ได้เหรียญ คิดในใจว่าตัวเองวิ่งช้าจนมาไม่ทันเหรียญ แต่มาเฉลยตอนหลังว่ากล่องนั้นน่ะไม่ใช่กล่องขนม แต่เป็นถ้วยเซรามิค เลยนึกขึ้นได้ว่า งานนี้ไม่มีเหรียญ แต่แจกเป็นถ้วยเซรามิคแทน จากนั้นก็มองหาซุ้มน้ำ พอเห็นคิวรับน้ำแล้วอยากจะเป็นลม ยาวมาก แต่ก็จำเป็นต้องไปต่อ เพราะไม่ได้เตรียมน้ำมาเองเลย พอรับน้ำได้ ก็กะว่าจะเดินกินน้ำแล้วก็เดินดูเสื้อผ้ากีฬาไปพลางๆ แต่ที่ไหนได้ ข้าศึกบุกประชิดประตูเมืองอีกแล้ว แล้วห้องน้ำอยู่ไกลมาก ต้องวิ่งอย่างเดียว วิ่งไปก็คิดไปจะทันมั๊ยเนี่ย แถมต้องฝ่าฝูงชนที่เดินช๊อปปิ้งอีก วิ่งไปชนใครก็ขอโทษด้วยค่ะ (speed น่าจะอยู่ที่ pace 6.30 ได้) เห็นห้องน้ำดีใจกว่าเห็นเส้นชัยอีก - -" สันนิษฐานว่าเป็นที่กาแฟ เพราะเมื่อวานไม่ได้กินอะไรผิดสำแดง เข็ดจริงๆ

งานนี้ได้ถ้วยจ้า

เข้าห้องน้ำเสร็จก็รีบกลับบ้านเลย ไม่ได้เดินดูเสื้อผ้าและอาหารหลังเส้นชัยเลย มีอะไรบ้างก็ไม่รู้ งานวิ่งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ น้ำไม่พอ จุดให้น้ำระหว่างเส้นทางและหลังเส้นชัยควรตั้งหลายๆจุดให้เพียงพอกับจำนวนคนที่มาวิ่ง ต่อไปนี้คงจะเตรียมน้ำไปเองทุกงาน เพราะไม่รู้จะไปเจอแจ๊คพ๊อตงานไหน เนื่องจากงานวิ่งหลายๆงานมีการรับสมัครหน้างาน เช้าวันที่วิ่ง ทำให้ไม่สามารถกะจำนวนน้ำ อาหาร เสื้อ เหรียญได้ คนที่สมัครล่วงหน้าแล้วอดเสื้อ อดเหรียญ ก็เซ็งกันไปตามระเบียบ

1 ก.ค. 2556

ซ้อมวิ่งยาวเพื่อวิ่ง Pattaya Marathon ระยะ Half สัปดาห์ที่ 14


เผลอแป๊บเดียวเข้าสู่สัปดาห์ที่ 14 แล้ว นั่นหมายความว่ามีเวลาซ้อมอีกแค่ 2 อาทิตย์ ผลการซ้อมวันนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าข้าพเจ้าพร้อมหรือยังสำหรับ Half Marathon ?

วันนี้เริ่มวิ่งด้วย pace 8.3 เพราะคิดว่าจะค่อยๆวิ่งไปช้าๆ และอยู่ให้ถึง 3 ขั่วโมง เพื่อดูว่าจะมีแรงพอสำหรับ 3 ชั่วโมงหรือไม่ ผลจากการวิ่งช้าๆ ทำให้สามารถวิ่ง 4 รอบสวนลุมได้โดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อย แต่พอเข้ารอบที่ 5-6 เกิดรู้สึกปวดฝ่าเท้า เจ็บเข่า เจ็บหน้าแข้ง ทำให้ pace ช้าลงไปอีก รู้สึกว่าไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ แต่ไม่อยากวิ่ง ยิ่งเจ็บ ยิ่งท้อ ตอนแรกว่าจะฝืนต่อให้ได้อีก 1 รอบ แต่ปรากฏว่ามือไปโดนปุ่ม end run เลยตัดสินใจหยุดดีกว่า

สรุปแล้ววันนี้วิ่ง 6 รอบ (15 กิโลเมตร)  ใช้เวลาไป 2.34 ชม ก็เป็นอันว่ารู้สภาพตัวเองแล้วว่ายังไม่พร้อมจริงๆสำหรับ half marathon ถามว่าฝืนเดินๆวิ่งๆไปจะวิ่งเข้าเส้นชัยได้ไหม ก็ตอบว่าได้ แต่คำนวณเวลาแล้วมันเกิน 3 ชั่วโมง ถ้าจบ half ที่ 3 ชั่วโมงไม่ได้ ขอยังไม่ลงดีกว่า ไม่อยากฝืนร่างกายจนเกินไป พัทยามาราธอนปีนี้ คงลงแค่ 10 กิโลไปก่อน ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ (ไม่รีบ เพราะจะวิ่งไปเรื่อยๆจนกว่าจะวิ่งไม่ได้ อยากเป็นคนแก่ที่แข็งแรง )

หลังจากซ้อมเสร็จ สิ่งที่ทรมานที่สุดของวันนี้คือ อาการเจ็บเข่า ปวดฝ่าเท้า ซึ่งระยะหลังๆนี่วิ่งเสร็จแทบไม่มีอาการบาดเจ็บเลย (อาจจะมีปวดเมื่อยบ้าง แต่ไม่เจ็บ) แต่ครั้งนี้รู้สึกได้ว่าเจ็บ ตกกลางคืนไข้ขึ้น สันนิษฐานว่า อาการบาดเจ็บมาจากการวิ่งช้าเกิน เพราะยิ่งวิ่งช้า ขาก็ยิ่งต้องรับน้ำหนักนาน สังเกตว่าทุกครั้งที่วิ่งช้า อาการเหล่านี้จะมาเยือนทันที ถ้าวันไหนวิ่งเร็วๆ ตอนวิ่งจะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่วิ่งเสร็จไม่เคยเจ็บ

จากนี้ไปจะเปลี่ยนแผนการซ้อมวิ่ง มาเป็นซ้อมวิ่งให้คงความเร็วไว้ที่ pace 7 ได้ตลอด 1 ชั่วโมงก่อน ถ้าวิ่ง pace 7 อยู่ตัวแล้วจะค่อยๆขยับซ้อม half marathon ตามโปรแกรมนี้อีกครั้ง มีความหวังเล็กๆว่า กรุงเทพมาราธอน น่าจะวิ่ง half ได้แล้ว

25 มิ.ย. 2556

ซ้อมวิ่งยาวเพื่อวิ่ง Pattaya Marathon ระยะ Half สัปดาห์ที่ 13



ซ้อมวิ่งยาวสัปดาห์นี้รู้สึกว่าร่างกายไม่ค่อยพร้อม แต่เนื่องจากสัปดาห์นี้จะไม่มีเวลาว่างแล้ว เลยต้องลองซ้อมแบบไม่พร้อมดู (ก่อนหน้านี้ก็พักมาแล้ว 4 วัน ไม่ได้ซ้อมย่อยเลย) รอบนี้ตั้งใจว่าถึงจะเหนื่อยจนต้องเดินก็จะเดินให้ครบ 6 รอบสวนลุม (6 รอบก็ประมาณ 15 กิโลเมตร)

วันนี้ไปถึงสวนเร็วกว่าปกติ เพราะต้องวิ่ง 2 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ กลัวแดดร้อน จากสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยพร้อม นอนน้อยด้วย ทำให้วันนี้ออกตัวด้วย pace 9 ช้ามาก แต่สิ่งที่ได้คือความรู้สึกสบายระหว่างวิ่ง สบายขา อากาศเย็นๆ แต่รู้สึกสบายได้แค่ 3 กิโลเมตร จู่ๆก็เกิดอาการเจ็บหลังเท้า คิดเอาเองว่าเป็นที่รองเท้าแน่ เพราะ brooks glycerine9 คู่นี้ไม่ได้หยิบมาใส่สักพักแล้ว (คู่นี้จะรู้สึกหนักกว่าคู่ที่ใส่ประจำ) เลยแวะเปลี่ยนรองเท้าที่รถเป็น adidas clima cool

พอเปลี่ยนรองเท้าได้อาการเจ็บหลังเท้าหายไป แต่สิ่งที่รู้สึกชัดเจนเลยคือ adidas ไม่ support แรงกระแทกเลย เหมือนไม่ได้ใส่รองเท้าวิ่ง กระแทกเต็มๆ เมื่อก่อนไม่รู้สึกขนาดนี้แต่พอเราใส่ brooks อยู่ดีๆแล้วเปลี่ยนเป็น adidas ความรู้สึกมาเต็มๆ แต่วิ่งไปสัก 1 โล ก็เริ่มชินกับ adidas และก็ตัดสินใจใช้ adidas จนจบ 6 รอบ

วันนี้ไม่ได้ทดลองวิ่งสดนะคะ เพราะรู้สึกไม่สดตั้งแต่เริ่มวิ่งแล้ว เข้ากิโลที่ 5 ก็วิ่ง 300 เมตร เดิน 100 เมตรแล้ว วันนี้ไม่เคร่งกับเวลา แค่ต้องคอยต่อสู้กับสภาพจิตใจตลอด 6 รอบ บอกตัวเองตลอดว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องได้ 6 รอบ ไม่ต้องสนใจเวลา ทำให้บางช่วงมีแรงฮึดวิ่ง บางช่วงผ่อน บางช่วงเดินแบบไม่สนใจอะไร สรุปก็จบ 6 รอบ 15 กิโลเมตร แบบร่อแร่เหมือนเดิม ใช้เวลา 2.33 ชั่วโมง ดูแล้วพัทยามาราธอนปีนี้คงจบให้ทัน 3 ชั่วโมงไม่ได้แน่ๆ แต่จะสู้ต่อไป!!